ใกล้จบปี 2025 แล้ว ปีนี้อ่านหนังสือไปได้ไม่กี่เล่ม ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะเวลาเกือบทั้งหมดหมดไปกับการอ่าน Antitrust Law in Perspective
.
ตำรากฎหมายการป้องกันการผูกขาด (กฎหมายการแข่งขันทางการค้า) ที่เขียนร่วมกันโดย William E. Kovacic (อดีต Chairman ของ FTC), Jonathan B. Baker (อดีต Chief Economist ของ DOJ Antitrust Division) และ Andrew I. Gavil (คนหลังดังในด้านการเขียนตำราเสียมากกว่า) ที่หนา 1,500 หน้า วนไปประมาณ 3 รอบ
.
อ่านจบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ตำราวิชาการด้านกฎหมายป้องกันการผูกขาดของไทย อยู่กันคนละระดับกับตำราต่างประเทศ จนเหมือนเราเป็นเพียงเด็กอนุบาล ไม่แปลกใจที่ระดับการผูกขาดทางเศรษฐกิจภายในประเทศจะสูงเสียดฟ้าอย่างที่เราเห็นกันอยู่
.
ความหวังของหมู่บ้านในการเขียนตำรากฎหมายไทยให้ได้เลเวลนี้ อาจต้องฝากไว้ที่อาจารย์กนกนัย ถาวรพานิช จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
.
ตอนแรกตั้งใจจะอ่านแค่รอบเดียว (ใครจะไปบ้าอยากอ่านหนังสือ 1,500 หน้า 3 รอบ) แต่เจอ 2 ประโยคด้านล่างนี้ไปก็ตกลงปลงใจว่าสักสามรอบน่าจะกำลังดี
.
“Ideas – along with values, attitudes and beliefs – tend to emerge and sometimes they are revived and refined. But rarely do we see them born or die.”
.
“Antitrust will always be a product of the prevailing economic and political thinking of the times”

.
สองประโยคนี้เปลี่ยน paradigm ความคิดความเข้าใจ เกี่ยวกับกฎหมายป้องกันการผูกขาดจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ
.
โดยเฉพาะประโยคหลังทำให้ภาพชัดขึ้นมากว่า กฎหมายนี้ไม่เคยเป็นเรื่องกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลผลิตของอำนาจ ความเชื่อ อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ และการเมืองในแต่ละยุคสมัย
.
เรียกได้ว่าประโยคหลังนี้เองที่เป็นหนึ่งในจุดตัดสำคัญ ที่ทำให้จำเป็นต้องขยับมาทำงานการเมืองหน้าฉาก (หลังจากอยู่หลังฉากมานาน แล้วทำได้เพียงเขียนข้อมูลเพื่อให้คนอื่นพูดแทน)
.
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขด้วยการสื่อสารข้อมูลเป็นเรื่อง ๆ แต่คือภาพใหญ่ว่าเราจะเลือกให้อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจชุดใดนำ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหน้าปากเหวเช่นนี้ และภาพใหญ่แบบนี้ไม่สามารถผลักดันได้ หากปราศจากความเข้าใจร่วมต่อภาพนั้นตั้งแต่ต้น

Posted in

Leave a comment