
หลายคนอาจคิดว่าดีล Luis Figo คือจุดเริ่มต้นของยุคสมัย Galácticos
บทความนี้จะพยายามพาเราลงไปลึกกว่านั้น ไปสู่ Super Deal ที่อยู่เบื้องหลังดีลทั้งหมด
(และแน่นอน มันเชื่อมโยงกับกฎหมายต่อต้านการผูกขาด – กฎหมายแข่งขันทางการค้า)
——–
เมื่อไม่นานมานี้ European Commission ได้เผยแพร่คำตัดสินคดีที่ดินของสโมสร Real Madrid ที่ยืดเยื้อมากว่า 25 ปี (CELEX:32025D2488: Commission Decision (EU) 2025/2488) เนื้อหาของคดีไม่มีอะไรมาก แต่อ่านแล้วก็นึกถึงปัญหาอย่างนึงที่แก้ไม่ตกเสียทีของประเทศไทย
.
ปลายยุค 90 เมืองมาดริดประสบปัญหาความหนาแน่นของประชากร รัฐบาลท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องวางแผนขยายเมืองออกไป คำถามสำคัญในตอนนั้นไม่ใช่ว่า จะขยายหรือไม่ขยาย เพราะยังไงก็ต้องขยาย – แต่จะขยายไปทางไหน?
.
จะไปทางใต้ก็ไม่คุ้ม เพราะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น โครงสร้างเมืองเก่า ค่าปรับรื้อคำนวณแล้วเกินกว่าเมืองจะจ่ายไหว ถ้านึกไม่ออกให้ จินตนาการถึง กรุงเทพฯ หากจะต้องเวนคืนที่ดินแถบท่าเรือคลองเตย ชุมชนคลองเตย รวมถึงคลังน้ำมันทั้งหมด คงปวดหัวน่าดู
.
จะไปทางทิศตะวันออกก็ติดกับสนามบิน Barajas เครื่องบินบินขึ้นบินลงทั้งวัน ติดทั้งกฎหมายการบินและกฎหมายผังเมือง ไม่เหมาะกับการสร้าง CBD (Central Business District) แห่งใหม่
.
ทิศตะวันตกก็เป็นพื้นที่สีเขียว เขตอุทยาน เขตอนุรักษ์ ไปทางนั้นก็โดนต่อต้าน
.
ตัวเลือกสุดท้ายจึงเหลือแค่ทิศเหนือเท่านั้น แถมว่ากันอย่างตรงไปตรงมา ที่ดินแถบนั้นสามารถเชื่อมต่อกับ CBD เดิมได้ด้วยเพราะอยู่ติดกัน รัฐบาลท้องถิ่นสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ CBD ใหม่ทั้งหมด เหมาะเจาะมากๆ
.
ทุกอย่างดูดีไปหมด แต่ปัญหาเดียวของทิศเหนือคือบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของ Ciudad Deportiva – ศูนย์ฝึกและสนามซ้อมของสโมสร Real Madrid
.
อันที่จริง ณ ตอนนั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไร เพราะ Real Madrid ในยุคนั้นก็ไม่ได้รวยมีเงินเป็นถุงเป็นถังอย่างในตอนนี้ แม้จะเพิ่งชนะ UCL มาในปี 1998 แต่ในด้านการเงินก็ถือว่ายังฝืดเคืองอยู่มาก
.
มากขนาดที่ตอน Florentino Pérez เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรในปี 2000 เขาพบว่าสโมสรมีหนี้สินเกือบ 300 ล้านยูโร ซึ่งในยุคนั้นตัวเลขนี้ถือว่าเสี่ยงล้มละลายได้เลย
.
ดังนั้น Real Madrid พอทราบข่าวก็ดีใจ เพราะก็รู้อยู่ว่าตัวเองนั่งทับที่ดินมูลค่ามหาศาลใกล้โซน CBD แต่ครั้นจะขายก็ไม่มีใครซื้อ เพราะที่ดินโซนนั้นมันถูกผังเมืองกำหนดให้เป็นโซนสำหรับกีฬา เอาไปสร้างตึกระฟ้าหรือห้างสรรพสินค้าใดๆ ไม่ได้ ทำได้แค่ใช้เป็นสนามซ้อมเท่านั้น
.
พอรัฐบาลท้องถิ่นแจ้งว่าต้องการที่ดิน “บางส่วน” ของ Ciudad Deportiva ฝั่ง Real Madrid ก็ไม่รอช้า ตอบตกลงเบื้องต้นเพื่อทำการคุยรายละเอียดทันที
.
รายละเอียดที่ปรากฎออกมาคือ แม้ว่ารัฐบาลท้องถิ่นจะอยากได้ที่ดินบางส่วนของ Ciudad Deportiva แต่รัฐบาลท้องถิ่นเองก็ไม่อยากควักเงินจ่ายเหมือนกัน ข้อเสนอของรัฐบาลท้องถิ่นคือ เดี๋ยวเอาที่ดินแปลงอื่นที่รัฐบาลท้องถิ่นถือครองอยู่ มาแลกกับที่ดินบางส่วนของ Ciudad Deportiva
.
ฝั่ง Real Madrid รู้ว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า เพราะเมืองมันขยายไปทางไหนก็ไม่ได้ ยังไงก็คงต้องมาทางนี้ เลยยื่นข้อแม้ไปเช่นเดียวกัน อย่างที่บอกไปว่าที่ดินสนามซ้อม Ciudad Deportiva นั้นติดล็อคผังเมืองเดิมเลยมีราคาต่ำ ดังนั้น Real Madrid จึงแจ้งว่า ถ้าจะแลกที่ดินก็ขอให้ประเมินราคาที่ดิน Ciudad Deportiva บนฐานผังเมืองใหม่
.
พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะประเมินราคาที่ดิน Ciudad Deportiva ด้วยผังเมืองเดิมที่ถูกล็อคไว้ซึ่งจะทำให้ได้ราคาประเมินต่ำ – Real Madrid ไม่แลก
.
จะว่า Real Madrid ก็ไม่ได้ ในมุมของ Real Madrid ถ้ารัฐบาลท้องถิ่นได้ที่ดินผืนนี้ไป รัฐบาลท้องถิ่นก็จะปลดล็อคผังเมืองจากเดิมที่ให้ใช้ได้แค่เพื่อการกีฬาเป็นสามารถสร้างตึกสูงได้อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอยากจะแลก ก็ประเมินราคาที่ดินโดยคิดซะว่ามันเป็นที่ดินในผังเมืองใหม่ไปเลย แล้วเอาที่ดินแปลงอื่นของเมืองที่มีมูลค่าเท่ากับการประเมินราคาใหม่มาแลก
.
โดยหากประเมินตามผังเมืองเดิมที่ถูกล็อคไว้ ที่ดินบางส่วนของ Ciudad Deportiva ที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องการนั้น จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 27 ล้านยูโร – หลังปลดล็อคผังเมือง ที่ดินแปลงนั้นจะมีมูลค่าประมาณ 45 ล้านยูโร หรือขึ้นมาเกือบเท่าตัว
.
แต่ลำพังเงิน 45 ล้านยูโรนี้ก็ไม่ได้มากมายขนาดจะสถาปนายุคสมัย Galácticos ได้
.
สิ่งที่สถาปนา Galácticos ขึ้นมาคือที่ดิน Ciudad Deportiva ส่วนอื่นๆ ที่เหลืออยู่
.
7 พฤษภาคม 2001 เมื่อทุกอย่างลงตัว สโมสร Real Madrid ภายใต้การนำของ Florentino Pérez จึงได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับสภาเมืองมาดริดและรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนที่ดิน Ciudad Deportiva และปลดล็อคผังเมือง
.
เมื่อมีการปลดล็อคผังเมืองราคาที่ดินก็กระโดดขึ้น Florentino Pérez ไม่รอช้า เริ่มดำเนินการทำสิ่งที่สโมสรไม่เคยทำมาก่อน คือดำเนินการขายที่ดิน Ciudad Deportiva ที่เหลืออยู่บางส่วนให้กับกลุ่มทุนอุตสาหกรรมและธนาคาร
.
เนื่องจากบริเวณนั้นได้ถูกปลดล็อคจนกลายเป็นที่ดิน CBD ที่สร้างตึกสูงที่สุดในสเปนได้แล้ว ราคาจึงพุ่งกระฉูด สโมสรฟันเงินสดจากการขายที่ดินส่วนนี้ไปสูงถึง 480 – 500 ล้านยูโร เข้าสู่จุดเริ่มต้นของยุคสมัยแห่ง Galácticos ภายใต้การนำของ Florentino Pérez อย่างเป็นทางการ
.
—
.
Real Madrid แลกที่ดิน Ciudad Deportiva บางส่วนให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ส่วนรัฐบาลท้องถิ่นก็ตอบแทนด้วยที่ดินจำนวน 10 แปลง ที่มีมูลค่าเท่ากันให้กับ Real Madrid
.
หากเรื่องจบเพียงแค่นี้ แม้จะดูทะแม่งๆ มีกลิ่นตุๆ ว่าเมืองเลือกทำเลขยายพัฒนาเมือง เพื่อช่วยสภาพคล่องให้กับ Real Madrid รึปล่าว แต่ลำพังเพียงเท่านี้ก็คงไม่มีปัญหา
.
ปัญหาจริงๆ ที่ทำให้เป็นคดียืดเยื้อกันมากว่า 25 ปี คือ ที่ดิน 1 ใน 10 แปลงที่รัฐบาลท้องถิ่นนำมาแลกกับ Real Madrid โดยที่ดินแปลงนั้นมีชื่อว่า B-32
.
จะด้วยเจตนาซ่อนเร้นหรือไม่ก็ตาม ตอนทำสัญญาทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและ Real Madrid อ้างว่าทุกฝ่ายเข้าใจว่า B-32 สามารถโอนให้กันได้ แต่เมื่อทำสัญญาเสร็จสิ้นกลับพบว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นสาธารณสมบัติที่ไม่สามารถโอนให้กันได้
.
แม้จะไม่สามารถโอนที่ดินให้กันได้ แต่หากวันนั้นรัฐบาลท้องถิ่นยอมชดใช้ราคา B-32 ที่ถูกประเมินไว้ที่ 12 ล้านยูโรให้กับ Real Madrid เรื่องคงจบเพียงเท่านี้
.
แต่รัฐบาลท้องถิ่นเลือกท่ายาก พยายามตีลังกาหาช่องทางกฎหมายเพื่อให้สามารถโอนที่ดินแปลงดังกล่าวได้
.
เวลาล่วงเลยไปกว่า 10 ปี ในปี 2011 รัฐบาลท้องถิ่นก็ยอมรับว่าไม่ว่าจะตีลังกาท่าไหนก็ไม่สามารถโอน B-32 ให้ Real Madrid ได้
.
ปัญหาที่ตามมาคือต้องสรุปแล้ว ต้องชดใช้ราคาเท่าไร ต้องชดใช้ราคาประเมินเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 12 ล้านยูโร หรือต้องชดใช้ราคาที่ประเมินในวันนี้ที่ราคากลายเป็น 22.7 ล้านยูโร
.
จริงๆ รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่มีปัญหาถ้าจะต้องจ่าย 22.7 ล้านยูโร แต่คนที่มีปัญหาคือแฟนบอลทีมอื่น ที่พอเห็นแบบนี้ก็บอกว่าส่วนต่าง 10 ล้านยูโรที่กำลังจะเอาให้ Real Madrid นี่มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ประเมินราคากันสูงเกินจริง และส่วนต่างจากการประเมินสูงเกินจริงมันคือการเอาเงินของรัฐมาอุ้มเอกชน (State Aid) แบบเลือกข้างชัดๆ
.
การทำแบบนี้อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด เพราะสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่าง Real Madrid กับสโมสรฟุตบอลอื่นๆ
.
ยุโรปน่าจะเป็นแผ่นดินบนโลกที่จริงจังกับเรื่อง State Aid มากที่สุดแล้ว เรื่องนี้เลยไม่ถูกปล่อยให้จบไปง่ายๆ ลากยาวกันมาจนเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนศาลยุโรปได้มีคำตัดสินว่า 22.7 ล้านยูโรนั้นเป็นตัวเลขที่เหมาะสมแล้ว ไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ให้กับ Real Madrid แต่อย่างใด และถือเป็นการปิดฉากคดีพิพาทที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดคดีหนึ่งของ Real Madrid
.
คนไทยอ่านจบแล้วคงงงๆ คิดว่าเรื่องแค่นี้ก็ฟ้องเอาผิดกันเป็นสิบปีเลยหรอ สู้ประเทศไทยก็ไม่ได้ อุ้มเอกชนกันทีเป็นพันเป็นหมื่นล้านอย่างหน้าตาเฉยยังไม่เห็นเป็นไร
.
แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรงเสียทีเดียว แต่อ่านเคสนี้ของ Real Madrid จบ ก็นึกถึงปัญหาและความยากลำบากในการผลักดัน Industrial Policy ของประเทศไทยที่อาจจะต้องอาศัย State Aid เช่นเดียวกัน
.
ไว้จะมาลงรายละเอียด Industrial Policy และ State Aid ต่อในโพสต์หน้า
“เมื่อความระแวงคือต้นทุนที่แพงที่สุดของชาติ” ครับ
Leave a comment